Search

การเคารพนับถือกฎหมาย (Obedience to Law) และ
...

  • Share this:

การเคารพนับถือกฎหมาย (Obedience to Law) และ

ท่าที่ของคนที่เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการเคารพนับถือกฎหมาย (Obedience to Law) คือ
การเคารพนับถือกฎหมายและเหตุผลในเชิงหลักการที่เข้ามารองรับหลักที่ว่าต้องเคารพกฎหมาย

1.การเคารพนับถือกฎหมาย (Obedience to Law)
มีสุภาษิตกฎหมายลาตินอยู่บทหนึ่งว่า “การเชื่อฟังกฎหมาย คือ แก่นสาระสำคัญแห่งกฎหมาย” (Obedientia est legis essential Obedience is the essence of Law)
เมื่อพิจารณาถึงสุภาษิตดังกล่าวแล้ว สาระสำคัญแห่งความเป็นกฎหมายนั้นอยู่ที่สภาพบังคับของกฎหมายหรือธรรมชาติของการที่กำหนดให้ผู้คนทั่วไปต้องคารพเชื่อฟังกฎหมาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่ากฎหมายและการเคารพเชื่อฟังกฎหมายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดคู่กันเสมอไม่อาจแยกออกจากกันได้
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปหรือสาระสำคัญดังกล่าวไม่ได้ให้เหตุผลว่า “ทำไมเราจึงต้องเคารพกฎหมาย” นอกจากคำตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า “เพราะมันคือกฎหมายเท่านั้น” อีกครั้งที่ไม่ได้ช่วยให้เกิดความกระจ่างเลยว่า “อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นการเคารพเชื่อฟังกฎหมายและธรรมชาติของกฎหมาย”
ประเด็นคำถามที่น่าศึกษาต่อมา คือ การเคารพเชื่อฟังต่อกฎหมายเป็นพันธะหน้าที่ทางศีลธรรม
(Moral duty) หรือไม่เชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมคงต้องยอมรับเห็นด้วยว่าเป็นพันธะเชิงศีลธรรมของสมาชิกในชุมชนที่ ต้องผูกมัดตัวต่อกฎหมายทำนองเดียวกับพันธะทางศีลธรรมในการรักษาคำมั่นสัญญาในทรรศนะนี้บางครั้งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความคิดหรือข้อสรุป “เรื่องหลักนิติศาสตร์ธรรมหรือหลักนิติธรรม” (The Rule of Law) ในสังคม
ประเด็นที่น่าสนใจต่อมาแนวคิดดังกล่าวข้างต้นนี้ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ความคิดของมนุษย์ ชาติมาเป็นเวลาช้านานแล้วเกือบ 2,000 ปี มีที่มา คือ
1.1โสเกรตีส (Socrates) ปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ของกรีกได้ยืนยันในหลักการดังกล่าว โดยมอบ
ชีวิตตัวเองให้แก่รัฐสมัยนั้นเพื่อพิสูจน์ความเชื่อของตนต่อความสมบูรณ์ ศักดิ์สิทธิ์ของหลักการนี้
1.2เซนต์ พอล (St. Paul) ได้จารึกไว้แก่พสกนิกรที่เป็นคริสเตียนทั้งหลายในกรุงโรม ยืนยันถึง
พันธะทางศาสนาที่ทุกคนต้องเคารพเชื่อฟังต่อกฎหมายของฝ่ายอาณาจักร (Secular Law)
1.3เซนต์ โทมัส อไควนัท (St.Thomas Aquinas) ประกาศว่ากฎหมายของมนุษย์ (Human
law) ควรต้องได้รับการเคารพเชื่อฟัง เว้นแต่กฎหมายนั้นจะขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ
1.4เบนแธม (Bentham) ผู้ปฏิเสธกฎหมายธรรมชาติและสนับสนุนข้อสรุปว่า กฎหมายทุกฉบับ
ควรอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์โดยคำนึงถึงหลักอรรถประโยชน์เป็นสำคัญ ก็ยืนยันว่าภายใต้รัฐบาลแห่งกฎหมาย สิ่งที่เป็นเสมือนภาษิตในใจของประชาชนที่ดี คือ “เคารพเชื่อฟังกฎหมายสม่ำเสมอ ตรวจสอบวิจารณ์กฎหมายโดยเสรี”
2.เหตุผลในเชิงหลักการที่เข้ามารองรับหลักที่ว่าต้องเคารพกฎหมาย
ถ้าเริ่มพิจารณาที่เหตุผลส่วนตัวของแต่ละบุคคลในการปฏิบัติตามกฎหมายดูเหมือนมีคำตอบ หลายแง่หลายมุมทั้งในแง่เหตุผลและในแง่จิตวิทยา นับแต่ความคร้าน (Indolence) ความเคารพ (Deference) ความเห็นตาม (Sympathy) ความกลัว (Fear) และความคิดรอบคอบ (เหตุผล = Reason) อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาลึก ๆ ลงสู่เหตุผลพื้นฐานของการต้องเคารพเชื่อฟังกฎหมาย พบว่ามีเหตุผลในเชิงหลักการหลาย ๆ ประการที่วางอยู่เบื้องหลังข้อสรุป ดังนี้ คือ
2.1 ในแง่สิทธิเสรีภาพ
การถือว่าทุกคนต้องเคารพกฎหมายต้องยอมรับก่อนในขั้นแรกว่าเป็นการมองในแง่อุดมคติ จึงจะสามารถเชื่อมโยงเข้าสู่นัยสิทธิเสรีภาพได้ เพราะการเคารพเชื่อฟังกฎหมายนั้นจริง ๆ แล้วเมื่อวิเคราะห์ลึก ๆ จะเห็นว่า “เป็นไปเพื่อค้ำประกันผลประโยชน์ของทุกคน” ทั้งนี้เพราะทุกคนมีความเสมอภาคกันภายในกฎหมาย ดังนั้นการเคารพเชื่อฟังกฎหมายจึงเป็นเรื่องภาระหน้าที่ ในทางนิติปรัชญาจึงถือว่าการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเสมือนสิ่งที่ก่อให้เกิดเสรีภาพ แต่อย่างไรก็ตามนั้นจะต้องพิจารณาพันธะในการปฏิบัติตามกฎหมาย
เซอร์ พอล วิโนกราดอฟ (Sir Paul Vinogradoff) ได้อธิบายเหตุผลในแง่ดังกล่าว ว่าการเคารพเชื่อฟังกฎหมายสืบแต่ความสำคัญของกฎหมายเอง กล่าวคือ เป็นความจำเป็นของสังคมที่ต้องมีกฎหมายใช้บังคับแก่สมาชิกทั้งหลายในสังคม เพื่อความสงบเรียบร้อยหรือประโยชน์สุขร่วมของสังคม โดยเฉพาะในนิติรัฐซึ่งถือว่ากฎหมายเป็นใหญ่และมีความสำคัญเหนือสิ่งใด เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ราษฎรทั้งหลายต้องยอมรับนับถือกฎหมาย และรัฐเองต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของราษฎรมิให้รัฐใช้อำนาจเกินขอบเขต
2.2 ในแง่สัญญาประชาคม (Social Contract) ตรงที่ต้องทำความเข้าใจทฤษฎีสัญญาประชาคมก่อนว่าทฤษฎีสัญญาประชาคม นั้นหมายถึงการบุคคลเข้ามาอยู่ในสัญญาประชาคมก็คือเสมือนกับได้ทำข้อตกลงเป็นสัญญาว่าอยู่ในสังคมร่วมกัน จะเคารพกติกาบ้านเมืองจะปฏิบัติตามคำสั่งของบ้านเมือง ซึ่งเราอาจมองได้ 2 ลักษณะ คือ
1)เป็นสัญญาที่มอบอำนาจให้รัฐโดยเด็ดขาด
2)การมอบอำนาจให้รัฐนั้นมันมีเงื่อนไขว่ารัฐไม่ต้องกระทำที่เป็นการมิชอบถ้ารัฐกระทำการมิชอบประชาชน สามารถยกเลิกสัญญาได้
ในแง่นี้การเอาสัญญาประชาคมมารับรองจะอยู่ใน ลักษณะที่ 1 คือ เป็นสัญญาที่มอบอำนาจให้รัฐโดยเด็ดขาด ในแง่นี้ โสเกรติส ถูกตัดสินพิพากษาประหารชีวิตโดยข้อหาก่ออาชญากรรมอุกฉกรรจ์ด้วยการปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าสร้าง พระองค์ใหม่ขึ้น และทำความเสื่อมเสียฉ้อฉลต่อศีลธรรมของหนุ่มสาวกรีกยุคนั้น ในระหว่างการรอประหารชีวิตด้วยการให้กินยาพิษฆ่าตัวตาย มิตรสหายของ โสเกรติส ได้พยายามชักชวนให้เขาหลบหนีการลงโทษ แต่ โสกราตีส กลับปฏิเสธโดยโต้แย้งว่าเขาได้อุทิศชีวิตของเขาทั้งหมดเพื่อสอนถึงความสำคัญของเรื่องความยุติธรรมและการเคารพต่อกฎหมายของรัฐ ดังนั้น แม้เขาจะยืนยันว่าเขาบริสุทธิ์ แต่การที่เขาได้ดำรงอยู่ในสังคมนั้นก็เสมือนว่าเขาได้ทำข้อตกลงที่จะเคารพเชื่อฟังกฎหมาย ดังนั้น เมื่อกฎหมายสั่งอย่างไรเขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแม้ผลลัพธ์ของกฎหมายนั้นจะทำให้เขาได้รับอันตรายก็ตาม
แนวคิดของ โสเกรติส นั้นสรุปได้ว่า โสเกรติส มองว่าพันธะในการที่การเคารพเชื่อฟังกฎหมายเป็นสิ่งสมบูรณ์ ทุกคนต้องยอมรับแม้จะเป็นผลร้ายแก่ตัวเองก็ตามนอกจากนั้นเขายังพยายามอ้างว่ารัฐเปรียบเสมือนพ่อแม่ที่เขาต้องเคารพเชื่อฟัง เราเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ฉันท์ใดเราก็ต้องเคารพรัฐฉันท์นั้น พ่อแม่จะปฏิบัติต่อลูกอย่างไรแม้ไม่ถูกต้องลูกก็ไม่มีสิทธิที่จะแก้แค้นหรือตอบโต้รัฐเช่นเดียวกัน รัฐจะกระทำต่อพลเมืองอย่างไรพลเมืองก็ไม่มีสิทธิตอบโต้การปฏิเสธรัฐปฏิเสธกฎหมายทำได้อย่างเดียว คือ ออกไปเสียจากสังคมนั้น ๆ เท่านั้น
2.3 หลักความเที่ยงธรรม (ความชอบธรรม) (Fairness) ถือว่าการที่มนุษย์อยู่สังคมมนุษย์ย่อมจะได้รับความสงบสุข เพราะคนในสังคมปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อคนอื่นปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นในสังคม ดังคำกล่าวที่ว่า การใช้สิทธิเสรีภาพนั้นต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิของผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนั้นต่างคนต่างก็ต้องเคารพกฎหมายเพื่อมิให้การใช้สิทธิของตนไปกระทบกระเทือนบุคคลอื่นแม้
เหตุผลในเชิงหลักการข้างต้นดังกล่าวที่รองรับการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย แต่ทว่าหากเราลองมองสำรวจรอบ ๆ ตัว เราจะพบว่ามีคนอยู่ไม่น้อยที่เป็นคนดี บริสุทธิ์ ซึ่งละเมิดฝ่าฝืนกฎหมาย โดยพวกเขากลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องผิด บกพร่องทางศีลธรรมอะไรในการกระทำดังกล่าว
ตัวอย่าง เราอาจพบได้ในผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรที่ขับขี่รถเกินอัตราความเร็วที่กฎหมายกำหนด, นักธุรกิจที่ทำสัญญาอย่างไม่เป็นการกันเองเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เขาเห็นว่าสูงเกินความจำเป็นหรือในสังคม ร่วมสมัยก็ปรากฏนักวิจารณ์สังคม นักทำกิจกรรมเพื่อสังคม นักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนไม่น้อยที่ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองอย่างเปิดเผยและจงใจ เพื่อคัดค้านสิ่งที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้องโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าตนกำลังละเมิดพันธะทางศีลธรรมที่ตนมี อยู่ต่อกฎหมายตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกต้องมากกว่า และการกระทำดังกล่าวจากมโนธรรมบริสุทธิ์ของตนเองข้อเท็จจริงเหล่านี้จึงดูเหมือนต้องการคำอธิบายที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งมาก


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts